วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

องค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง (๑๔)

วันที่ ๒๗ เดือนธันวาคม   พุทธศักราช ๒๕๕๘
ที่มา : สโรชา จิรชวนันท์, โลกของพืช.พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.๒๔๔๑. หน้า ๑๖-๒๘
 
                          เรื่อง องค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง

๑.คอลโรฟีลล์ (Chorolophyll ) เป็นสารประกอบพวกโปรตีน มีแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบ ดังนั้นแมกนีเซียมจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคลอโรฟีลล์ของพืช นอกจากแมกนีเซียมต้องมีเหล็ก แมงกานีส และแสง  ดังนั้นพืชที่ปลูกในดินที่ขาดธาตุดังกล่าว จึงมักมีใบสีเขียวเป็นจุดๆ หรือค่อนข้างเหลือง คลอโรฟิลล์มีหน้าที่ดูดกลืนพลังงานแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานเคมี คลอโรฟีลล์จะดูดแสงในช่วงคลื่นสีม่วง น้ำเงิน  แดงได้ดีกว่าช่วงคลื่นอื่นๆ สีเขียวดูดแสงได้น้อยที่สุด ดังนั้นแสงที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงด้วยมาก คือ แสงสีแดงและแสงสีน้ำเงิน แสงสีเขียวจะใช้น้อยที่สุด

๒.แสงสว่าง ( Light) การสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นการะบวนการสะสมพลังงานไว้ภายในโมเลกุลของอาหารที่พืชสร้างขึ้น ดังนั้น ในการสังเคราะห์ด้วยแสงจึงต้องอาศัยพลังงานจากภายนอก พลังงานธรรมชาติที่พืชได้รับคือ พลังงานจากแสงอาทิตย์

๓.คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondyoxide) ที่พืชใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงนั้นจะได้มาจากอากาศ ซึ่งจะซึมเข้าทางปากใบเป็นส่วนใหญ่ แล้วเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างเซลล์โดยละลายกับน้ำที่อยู่รอบๆเซลล์พวก Palisadeและ Spongy  ซึ่งเปียกชื้น เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำจะกลายเป็น Carbonic acid หรือเกลือคาร์บอเนต  จากนั้นซึมเข้าสู่เซลล์และเม็ดคลอโรพลาสต์

๔.น้ำ (water) ส่วนใหญ่แล้วพืชได้น้ำมาจากพื้นดินโดยรากของพืชดูดผ่านเข้าทางรากขน เข้าสู่ท่อลำเลียงน้ำของราก แล้วลำเลียงต่อไปสู่ลำต้นผ่านไปจนถึงใบ

๕.เซลล์ต้องมีชีวิต เป็นระดับที่การสังงเคราะห์ด้วยแสงอยู่ในอัตราสูงสุด

๖.ต้องมีอุณหภูมิพอเหมาะ เป็นระดับที่การสังเคราะห์ด้วยแสง อยู่ในอัตราสูงสุด

สถาบันครอบครัว (๑๓)

วันที่ ๒๗ เดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
ที่มา: กาญมณี  ประนิธิ.สรุปสังคม.กรุงเทพฯ.จิรวัฒน์การพิมพ์.๒๕๕๐.หน้า ๑๐๒-๑๑๐
เรื่อง สถาบันครอบครัว
สถาบันครอบครัว เป็นสถาบันพื้นฐานแรกที่สุดและมีความสำคัญยิ่งของสังคม เพราะ ในสมัยก่อนนั้นสถาบันครอบครัวทำหน้าที่เป็นทั้งสถาบันการศึกษา สถาบันเศรษฐกิจ และสถาบันการปกครอง ฯลฯ หรืออธิบายได้ว่า สถาบันครอบครัวทำหน้าที่ให้การศึกษาและความรู้ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในด้านเศรษฐกิจ และปฏิบัติหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนสมาชิกของครอบครัวให้เป็นพลเมือง แต่ในปัจจุบันสถาบันการศึกษาและสถาบันเศรษฐกิจได้เข้ามามีบทบาทปฏิบัติ หน้าที่แทนสถาบันครอบครัวในด้านการให้การศึกษาแก่สมาชิกของสังคม และผลิตเครื่องอุปโภคและบริโภคขึ้นจำหน่ายแก่สมาชิกในสังคม บทบาทในด้านดังกล่าวของสถาบันครอบครัวจึงลดลงไป
ความหมายของสถาบันครอบครัว
สถาบันครอบครัว หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมที่คนที่มาติดต่อเกี่ยวข้องกันในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและเครือญาติจะต้องปฏิบัติตาม นั่นคือคนที่เป็นญาติกันโดยสายเลือด เช่น เป็นพ่อแม่ พี่น้องกัน เป็นญาติกันทางการแต่งงาน เช่น เป็นสามีภรรยา เป็นเขยสะใภ้กัน หรือการรับไว้เป็นญาติ เช่น เป็นบุตรบุญธรรม เป็นต้น คนเหล่านี้จะต้องปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์แบบแผนที่สังคมเป็นผู้กำหนดขึ้นเรียกว่า สถาบันครอบครัว ซึ่งครอบคลุมแนวทางในการปฏิบัติในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ คือ การเลือกคู่ การหมั้น การแต่งงาน การเลี้ยงดูลูก การอบรมขัดเกลา การหย่าร้างและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครองครัวและเครือญาติทั้งหมด
สถาบันครอบครัว  มีองค์ประกอบ  ดังนี้
กลุ่มสังคมในสถาบันครอบครัว ได้แก่ ครอบครัวซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน เช่น บิดา มารดา บุตร วงศาคณาญาติที่เกี่ยวข้องโดยสายโลหิต หรือการสมรส หรือมีบุตรบุญธรรม

หน้าที่ของสถาบันครอบครัวและ  สัญลักษณ์และค่านิยม
. หน้าที่ผลิตสมาชิกใหม่ให้แก่สังคม  เพื่อทดแทนสมาชิกของสังคมที่สิ้นชีวิตลง
. หน้าที่เลี้ยงดูสมาชิกใหม่ให้มีชีวิตรอด เนื่องจากทารกแรกเกิดและเด็กไม่สามารถดูแลตนเองได้
. หน้าที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่สมาชิกใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
. หน้าที่อื่น ๆ  ได้แก่ การสนองความต้องการทางจิตใจ ทำหน้าที่ให้ความรักความอบอุ่นสมาชิก
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก สถาบันครอบครัวประกอบไปด้วยแบบแผน

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของแรงยืดหยุ่น (๑๒)

วันที่ ๒๑ เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
 ที่มา : องอาจ ผกามาลยเทพ, มหัศจรรย์โลกฟิสิกส์.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.๒๔๕๓. หน้า ๗๐-๗๕
เรื่อง ประโยชน์ของแรงยืดหยุ่น
ที่นอนสปริง
การนอน คือ การพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย ดังนั้นถ้าเราได้นอนบนเตียงดีๆ ไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป ย่อมส่งผลดีต่อกระดูกสันหลัง และทำให้หลับสบาย ที่นอนยุคปัจจุบันนิยมเสริมด้วยสปริง เพื่อให้ยืดหยุ่น ไม่ยุบตัวเลานอน รวมทั้งรับน้ำหนักได้ดี
ปากกา
เวลาถอดปลอกปากกา (ชนิดกด) ออกดูเราจะเห็นสปริงเล็กๆ ข้างใน เมื่อกดปากกาสปริงนี้จะหด ส่งแรงดันให้ปลายปากกาโผล่ออกจากปลอก และพอกดปากกาซ้ำอีกครั้งสปริงจะคืนตัวกลับสู่ความยาวเดิม ทำให้ปากกากลับเข้าไป
ไม้ค้ำถ่อ

ไม้ค้ำถ่อเป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่มีความยืดหยุ่นและเบา ถ้าไม่ยืดหยุ่นมาก นักกีฬาก็ยิ่งกระโดดข้ามราวได้สูง เพราะขณะนักกีฬาดีดตัวขึ้นจากพื้น ไม้จะโค้งงอ ทำให้มีแรงส่งจากนั้นค่อยๆ คืนตัวกลับรูปเดิม เมื่อนักกีฬาลอยตัวขึ้นสูงสุดและปล่อยมือ

อันตรายที่เกิดกับตับ (๑๑)

วันที่ ๒๑ เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา :ณิชากร อุปพงษ์, ร่างกายของเรา.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : มีดีคิดส์.๒๔๕๓. หน้า ๔๕-๕๐
เรื่อง อันตรายที่เกิดกับตับ
                ตับสุขภาพดีจะมีสีแดงเข้ม ส่วนตับที่ผิดปกติหรือเป็นโรค จะมีสีและลักษณะต่างออกไปถ้ามีไขมันสะสมที่ตับมากกว่า ๕ % ของน้ำหนักตับ เรียกว่า ตับคั่งไขมัน จะทำให้ตับเหลืองและบวมกว่าปกติ สาเหตุจากมการดื่มสุรา ความอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
                โรคตับแข็ง (cirrhosis) เกิดจากเซลล์ตับถูกทำลายอย่างถาวร และเกิดเป็นเนื้อเยื่อพังผืด ตับจึงมีลักษณะแข็ง ไม่อาจทำหน้าที่ได้ปกติ ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งตับ สาเหตุสำคัญเกิดจากการดื่มสุราติดต่อกันเป็นเวลานาน
                มะเร็งตับ (liver cancer) เป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมาก เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี โรคตับแข็ง ยาบางชนิด การดื่มสุรา การกินอาหารที่มีเชื้อรา

                วิธีรักษาผู้ป่วยโรคตับรุนแรง จนรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้แล้วคือ การผ่าตัด เปลี่ยนตับ โดยผ่าตัดตับบางส่วนจากผู้บริจาคมาให้ผู้ป่วย ส่วนตับที่เหลือของผู้บริจาคก็จะงอกกลับมาจนมีขนาดเกือบเท่าปกติได้ภายในเวลาไม่นาน แต่วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจมีภาวะแทรกซ้อนดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคตับ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ดาวบอกทิศ (๑๐)

วันที่ ๒๐ เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
 ที่มา :ชุตินันท์ เอกอุกฤษฎ์กุล, ตะลุยป่าอะเมซอน.พิมพ์ครั้งที่ ๑๘. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์.๒๔๕๐. หน้า ๑๕-๒๐

เรื่อง ดาวบอกทิศ
ดาวเหนือ
                ดาวเหนือเป็นดาวที่นักเดินทางและคนเดินเรือใช้ในการหาทิศทาง
                ดาวเหนือ คือ ดาวแอลฟาในกลุ่มดาวหมีเล็ก (α-ursa minor) เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในกลุ่มมดาวหมีเล็ก ดาวเหนืออยู่ที่ปลายหางหมีเล็ก และตำแหน่งเดิมตลอดทั้งคืน ขั้วโลกเหนือของโลกไม่ได้หันไปทางดาวเหนือ แต้อียงประมาณ 1 องศา
กลุ่มดาวกางเขนใต้
                เราสามารถใช้กลุ่มดาวกางเขนใต้เพื่อหาทิศใต้ได้ เช่นเดียวกับการใช้ดาวเหนือหาทิศเหนือ
                กลุ่มดาวกางเขนใต้ประกอบด้วยแอลฟา  บีตา เดลตา และแกมมา เรียงกันเป็นรูปว่าว เราจะหาทิศใต้ได้โดยลากเส้นตรงจากดาวแกมมาไปยังดาวแอลฟาในกลุ่มดาวกางเขนใต้


พันธุกรรมจากพ่อแม่ (๙)

วันที่ ๒๐ เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
 ที่มา :ธิติวัส เอกจรรยา, ตะลุยร่างกายมนุษย์.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชั่น.๒๔๕๓. หน้า ๕๔-๖๐
เรื่อง พันธุกรรมจากพ่อแม่
พันธุกรรมจากแม่
                นอกจากดีเอ็นเอจะมีอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์แล้ว ยังพบในองค์ประกอบอื่นของเซลล์นั่นคือ ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)
                ไมโทคอนเดรียเป็นแหล่งสร้างพลังงานให้เซลล์ เซลล์ที่ต้องใช้พลังงานสูงจะมีไมโทคอนเดรียมาก ในเซลล์ไข่และอสุจิก็มีไมโทคอนเดรีย แต่เมื่อเกิดการปฎิสนธิกัน จะเหลือแต่ไมโทคอนเดรียจากไข่ ดังนั้นไมโทคอนเดรียในตัวลูกจึงได้มากจากแม่เท่านั้น
พันธุกรรมจากพ่อ

                พันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกมีหลายอย่าง เช่น การมีขนที่หูเกิดเนื่องจากจีนที่ควบคุมลักษณะนี้อยู่ในโครโมโซม Y จึงไม่พบในผู้หญิง และจะถ่ายทอดจากไปสู่ลูกชายเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับเพศ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น (๘)

วันที่ ๑๐  เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
 ที่มา : ผศ.ประสงค์ หลำสะอาด, คู่มือรายวิชาเพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม ๓.พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : พ.ศ.พัฒนา. ๒๔๕๔. หน้า ๑๖-๒๙
เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของลำต้น

ลำต้น เป็นโครงสร้างของพืชที่เจริญถัดขึ้นมาจากราก ลำต้นมีข้อปล้อง บริเวณข้อจะมีใบ ที่ซอกใบมีตา ลำต้นทำหน้าที่ชูกิ่ง ใบ ดอก ผล และทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร ธาตุอาหาร และน้ำ
ตารางแสดงความแตกต่างระหว่างลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่กับลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
ลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
1. มีข้อและปล้องเห็นได้ชัดเจน
2. ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา
3.มัดท่อน้ำท่ออาหารกระจายไปทั่วลำต้น
4. ส่วนมากไม่มีแคมเบียม                        
5. ส่วนมากไม่มีการเจริญขั้นที่สอง
6. ส่วนมากไม่มีวงปี
7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการในการทำงาน
1. เห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
2. มีกิ่งก้านสาขามาก
3. มัดท่อน้ำท่ออาหารเรียงตัวเป็นวงรอบลำต้น
4. ส่วนมากมีแคมเบียม นอกจากพืชล้มลุกบางชนิดไม่มี
5. ส่วนมากมีการเจริญขั้นที่สองและเจริญไปเรื่อยๆสัมพันธ์กับความสูง
6. ส่วนมากมีวงปี
7. โฟลเอ็มและไซเลมมีอายุการทำงานสั้น แต่จะมีการสร้างขึ้นมาทดแทนอยู่เรื่อยๆโดยแคมเบียม
ชนิดของลำต้น
สามารถจำแนกลำต้นออกตามแหล่งที่อยู่ได้สองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ลำต้นเหนือดินและลำต้นใต้ดิน
ลำต้นเหนือดิน (aerial stem)
๑. ต้นไม้ยืนต้น (tree) เป็นต้นไม้ที่มีลำต้นหลักต้นเดียว จากนั้นจึงแตกกิ่งก้านสาขาบริเวณยอด ลักษณะเนื้อแข็ง ลำต้นมีขนาดใหญ่ อายุยืนหลายปี
๒. ต้นไม้พุ่ม (shrub) เป็นต้นไม้ที่มีลำต้นหลักหลายต้น มักมีเนื้อไม้แข็งแต่มีขนาดเล็กว่าไม้ยืนต้น แตกกิ่งก้านสาขาใกล้บริเวณผิวดิน
๓. ต้นไม้ล้มลุก (herb) เป็นต้นไม้ที่มีเนื้อไม้อ่อนหรือไม่มีเนื้อไม้ ส่วนใหญ่มีอายุปีเดียว บางชนิดอาจอยู่ได้สองปี เมื่อครบวัฏจักรชีวิตจะตายไป ไม้ล้มลุกบางชนิดที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน เมื่อส่วนที่อยู่เหนือดินตายส่วนที่อยู่ใต้ดินจะพักตัวอยู่และงอกในฤดูถัดไป
.จำแนกตามลักษณะของเนื้อไม้
) ลำต้นที่มีเนื้อไม้ (woody stem) ได้แก่ ลำต้นของต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม
) ลำต้นที่ไม่มีเนื้อไม้ (herbaceous stem) ได้แก่ ลำต้นของต้นไม้ประเภท ไม้ล้มลุก
. ลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทำหน้าที่พิเศษ
) ลำต้นเลื้อย (creeping stem หรือ prostate stem) เป็นลำต้นที่เลื้อยไปตามผิวดินหรือผิวน้ำและมีรากงอกออกมาจากบริเวณข้อแล้วแทงลงดินเพื่อช่วยยึดลำต้น เช่น สตรอเบอรี ผักบุ้ง ผักตบชวา
๒) ลำต้นปีนป่าย (climbing stem) เป็นลำต้นที่เลื้อยหรือไต่ขึ้นที่สูง เป็นพวกไม้เถา (vine) ได้แก่
- ทไวเนอร์ (twiner) เป็นไม้เถาที่ปีนป่ายขึ้นที่สูงโดยใช้ลำต้นพันกับหลักเป็นเกลียว เช่น ถั่วฝักยาว
- รูตไคลม์เบอร์ (root climber) เป็นลำต้นที่ปีนป่ายขึ้นที่สูง โดยงอกรากออกจากข้อยึดติดกับหลักหรือต้นไม้ เช่น พลู พริกไทย
- ลำต้นหนาม (spine หรือ thorny stem) เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนามรวมทั้งขอเกี่ยวสำหรับปีนป่ายขึ้นที่สูงและป้องกันอันตราย เช่น ส้ม
- ฟีลโลเคลด (phylloclade) เป็นลำต้นที่มีลักษณะแบนจนกระทั่งคล้ายกับลักษณะของใบในพืชทั่ว ๆ ไป ลำต้นแบบนี้ปกติจะทำหน้าที่ของใบด้วย คือ สังเคราะห์แสง ดังนั้นพืชที่มีลำต้นแบบนี้จึงไม่มีใบหรือมีก็เล็กมาก เช่น ตะบองเพชร
- แคลโดฟีลล์ (cladophyll) หรือ แคลโดด (cladode) เป็นลำต้นที่เปลี่ยนไปมีลักษณะคล้ายใบเช่นเดียวกันกับฟีลโลเคลดแต่มักใช้กับกิ่งก้านที่เป็นเส้นเรียวเล็ก ทำหน้าที่แทนใบโดยมีสีเขียว สามารถสังเคราะห์แสงได้ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง สนปฏิพัทธ์

ลำต้นใต้ดิน (underground stem)
ลำต้นใต้ดินบางชนิดมักมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นราก ทั้งนี้เพราะลำต้นเหล่านี้ไม่มีคลอโรฟีลล์ มีรากเล็ก ๆ งอกออกมาซึ่งคล้ายกับรากแขนงที่แตกออกมาจากรากแก้ว ลำต้นใต้ดินมีรูปร่างแตกต่างไปจากลำต้นเหนือดิน ส่วนใหญ่ทำหน้าที่สะสมอาหาร ได้แก่ ไรโซม ทูเบอร์ บัลบ์และคอร์ม
๑) ไรโซม (rhizome) เป็นลำต้นใต้ดินที่มักขนานไปกับผิวดิน มีข้อและปล้องสั้น ๆ ตามข้อมีใบเกล็ดสีน้ำตาลไม่มีคลอโรฟีลล์หุ้มตาไว้ ตาสามารถแตกแขนงเป็นลำต้นใต้ดินหรือลำต้นและใบชูขึ้นเหนือดิน มีรากงอกลงดิน ลำต้นชนิดนี้มักเรียกว่า แง่ง หรือเหง้า เช่น ขิง ข่า ขมิ้น พุทธรักษา หญ้าคา หญ้าแพรก
๒) ทูเบอร์ (tuber) เป็นลำต้นใต้ดินสั้น ๆ ประกอบด้วยข้อและปล้องประมาณ ๓-๔ ปล้องเท่านั้น ไม่มีใบเกล็ด ลำต้นมีอาหารสะสมทำให้อวบอ้วน มีตาอยู่โดยรอบซึ่งมักจะบุ๋มลงไป สามารถงอกต้นใหญ่ชูขึ้นเหนือดินในบริเวณตานั้น ได้แก่ มันฝรั่ง
๓) บัลบ์ (bulb) เป็นลำต้นใต้ดินที่ตั้งตรง ใบเกล็ดนี้จะทำหน้าที่สะสมอาหาร ในขณะที่ลำต้นไม่มีอาหารสะสมอยู่ ส่วนล่างของลำต้นมีรากเป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม พลับพลึง
๔.) คอร์ม (corm) เป็นลำต้นใต้ดินที่ตั้งตรงเช่นเดียวกับบัลบ์ มีข้อปล้องเห็นชัดตามข้อมีใบเกล็ดบาง ๆ หุ้ม ลำต้นหน้าที่สะสมอาหารทำให้อวบอ้วน มีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบโผล่ขึ้นเหนือดินหรืออาจแตกเป็นลำต้นใต้ดินต่อไปได้ เช่น เผือก แห้วจีน ซ่อนกลิ่นฝรั่ง
หน้าที่ของลำต้น
ลำต้นมีหน้าที่สำคัญ๒ อย่าง คือ
๑. เป็นแกนสำหรับช่วยพยุง ( supporting ) กิ่งก้านสาขา ใบ และดอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ใบกางออกรับแสงแดดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
๒. เป็นตัวกลางสำหรับลำเลียง ( transportation ) น้ำ เกลือแร่ และอาหาร ส่งผ่านไปยังส่วนต่างๆของพืช

นอกจากนี้ลำต้นยังมีหน้าที่พิเศษอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่น สะสมอาหาร แพร่พันธุ์ สังเคราะห์แสง เป็นต้น

ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ (๗)

วันที่ ๑๐  เดือนธันวาคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
 ที่มา : อัครพล แก้วแกมเสือ, สรุปเนื้อหา โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ.พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : แอคทีฟ พริ้น. ๒๔๕๖. หน้า ๕๓-๕๕
เรื่อง ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ
ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีทั้งหมด ๘ ดวง มีวงโคจรเป็นรูปวงรี ระนาบวงโคจรเกือบตั้งฉากกับแกนหมุนของดวงอาทิตย์ ประกอบด้วย
๑.ดาวพุธ อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด มีขนาดเล็กที่สุด ไม่มีบรรยากาศห่อหุ้ม แห้งแล้ง เต็มไปด้วยหลุมอึกกาบาตรมากมาย ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร
๒.ดาวศุกร์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๒ มีแสงสว่างเจิดจ้ามากที่สุด เป็นดาวฝาแฝดของโลกหมุนรอบตัวเองในทิศทางสวนกลับคนอื่น และไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร
๓.โลก อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๓ มีดวงจันทร์เป็นบริวารเพียงดวงเดียว
๔.ดาวอังคาร อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๔ เป็นดาวที่มีสีแดง มีบรรยากาศที่เจือจางมาก
๕.ดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๕ มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลสารมากที่สุด มีชั้นบรรยากาศที่แปรปรวนและมีพายุตลอดเวลา มีดวงจันทร์เป็นบริวารมากที่สุด
๖.ดาวเสาร์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๖ มีความหนาแน่นน้อยที่สุด
๗.ดาวยูเรนัส อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๗ เป็นดาวสีฟ้า มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
๘.ดาวเนปจูน อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ ๘ เป็นดาวสีน้ำเงิน มีกระแสลมในบรรยากาศพัดรุนแรงที่สุด มีความหนาวเย็นมากที่สุด มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
*** นักดาราศาสตร์ถอดดาวพลูโตออกจากการเป็นสมาชิกของดาวเคราะห์ เพราะมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสามารถรบกวนวงโคจรของดาวเนปจูนได้ จึงมีสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระแทน