วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

โครงสร้างของแมลง (๒๔)

วันที่ ๓๑ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
 ที่มา : อิงอร ศรีเกษ. วิทยาศาสตร์ฉลาดรู้.กรุงเทพฯ : อมรินทร์คอมมิกส์,๒๕๕๓. พิมพ์ครั้งที่๑๒. หน้า๒๗-๓๗
เรื่อง โครงสร้างของแมลง

แมลงจัดอยู่ในพวกสัตว์ไม่มีกระดูก อยู่ในไฟลัมอาร์โทรโพดา หรือสัตว์ขาข้อที่มีลำตัวเป็นข้อปล้องถึงแม้จะไม่มีกระดูกแต่แมลงก็มีผิวนอกเป็นเปลือกแข้งทำหน้าที่ปกป้องร่างกายแทนกระดูก ภายใต้เปลือกนอกมีกล้ามเนื้อยึดติดโครงสร้างทางร่างกายของแมลงแตกต่างจากสัตว์มีกระดูกสันหลังโดยสิ้นเชิง แลงมีตา๒๘,๐๐๐ ดวง ตาประกอบมองเห็นภาพแบบเรียงต่อกัน แต่ไม่ชัดเจน แต่จับภาพที่เคลื่อนไหวได้ดี ทำให้แมลงสามารถล่าเหยื่อได้สะดวก

แมลง (๒๓)

วันที่ ๒๓ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
 ที่มา : อิงอร ศรีเกษ. วิทยาศาสตร์ฉลาดรู้.กรุงเทพฯ : อมรินทร์คอมมิกส์,๒๕๕๓.พิมพ์ครั้งที่๑๒. หน้า๑-๑๓
เรื่อง แมลง
แมลงเป็นสัตว์ที่มีร่างกายเล็กและอ่อนแอจึงมีกลไกในการป้องกันตนเองตามธรรมชาติ เช่น ด้วงดินจะปล่อยของเหลวร้อนๆออกมาเมื่อถูกโจมตี หรือผึ้งที่ปล่อยเหล็กในเวลาต่อยศัตรู ตั๊กแตนตำข้าวใช้การพรางตัวให้กรมกลืนกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ทำตัวนิ่งๆหรือเคลื่อนไหวไปตามลมให้ดูเหมือนเป็นใบไม้ แมลงเป็นสัตว์จำพวกสัตว์ขาข้อลักษณะคือไม่มีกระดูกสันหลังและลำตัวเป็นข้อปล้องแมลงถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกหลายร้อยปีก่อนร่างกายแบ่งเป็น ส่วนหัว หน้าอก และท้อง ตรงส่วนหัวจะมีหนวดสัมผัสคู่หนึ่งแมลงที่ได้รับการบันทึกเอาไว้จนถึงปัจจุบันมีอยู่ประมานแปดแสนชนิด



วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (๒๒)

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๕๙
 ที่มา : สำนักพัฒนานวัฒนธรรมการจัดการศึกษา.ก้าวสู่อาเซียน. กรุงเทพฯ-นนทบุรี,๒๕๕๖. หน้า๑๓-๒๘
เรื่อง ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนพัฒนาการจากความร่วมมือและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมานานกว่า ๔๐ ปี ที่กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันอกเฉียงใต้มองไปสู่โลกภายนอก อยู่ร่วมกันอย่างสันติมีเสถียรภาพและมีความมั่นคง ผูกพันกันด้วยวามเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาอันป็นพลวัตรในประชาชมแห่งสังคมที่เอื้ออาทร ประชามคมการเมืองและความมั่นคงอาเซีย ส่งผลให้ความร่วมมือด้านการเมือและความมั่นคงทางอาเซียนมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น

เนื้อเยื่อของพืช (๒๑)

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: กาญมณี  ประนิธิ.สรุปสังคม.กรุงเทพฯ.จิรวัฒน์การพิมพ์.๒๕๕๐.หน้า ๑๐๒-๑๑๐

เรื่อง เนื้อเยื่อของพืช
โครงสร้างของเนื้อเยื่อเจริญ
                เนื้อเยื่อเจริญคือ  เนื้อเยื่อพืชซึ่งประกอบด้วยเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวแบบไมโทซิส  (Mitosis)  ได้ตลอดเวลา  ลักษณะเป็นเซลล์ที่มีชีวิต  มีรูปร่างหลายแบบ  ส่วนมากรูปร่างหลายเหลี่ยมหรือค่อนข้างกลม  มีขนาดเล็ก  ผนังเซลล์บาง  นิวเคลียสใหญ่ ไซโทพลาสซึมเต็มเซลล์  แวคิวโอลเล็กหรือไม่มีการเรียงตัวของเซลล์อยู่ชิดกันมากจนไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์  (Intercellular  space)  เซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญเหล่านี้เมื่อหยุดแบ่งตัวแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรต่อไป
                ชนิดของเนื้อเยื่อเจริญเมื่อจำแนกตามตำแหน่งที่อยู่ในส่วนของพืชแบ่งได้เป็น ๓ ชนิด คือ
                เนื้อเยื่อเจริญปลายยอด  (Apical  meristem)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอด  ปลายราก  ปลายกิ่ง  และที่ตา  ทำหน้าที่ช่วยให้ส่วนต่างๆ ของพืชยืดยาวและสูงขึ้น
                เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง  (Lateral  meristem)  เป็นเนื้อเจริญที่อยู่บริเวณด้านข้างของลำต้นและรากในพืชใบเลี้ยงคู่ที่มีการเจริญทุติยภูมิ  ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มขนาดทางด้านข้างหรือเพิ่มความหนาของลำต้นและราก  ได้แก่  วาสคิวลาร์แคมเบียม  (Vascular  cambium)  และคอร์กแคมเบียม  (Cork  cambium) 
                เนื้อเยื่อเจริญระหว่างปล้อง  (Intercalary  meriatem)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณข้อหรือเหนือข้อ  พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว  ทำหน้าที่ช่วยเพิ่มความยาวของปล้อง
                ชนิดของเนื้อเยื่อเจริญเมื่อจำแนกตามการเกิดและการเจริญเติบโตจำแนกได้เป็น ๓ ชนิด คือ
                เนื้อเยื่อเจริญเริ่มแรกหรือโพรเมอริสเต็ม  (Promeristem)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่เกิดขึ้นใหม่จากกลุ่มเซลล์ที่มีรูปร่าง  ขนาด และลักษณะคล้ายกันมาก  ผนังเซลล์บาง  นิวเคลียสใหญ่ แวคิวโอลเล็กหรือไม่มีไซโทพลาสซึมข้น  กิจกรรมทางเคมีของพืชสูง  และการเรียงตัวของเซลล์ชิดกันไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์  เนื้อเยื่อเจริญกลุ่มนี้พบมากบริเวณ  ปลายยอด  ปลายราก  ปลายกิ่ง  และตา
                เนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ  (Primary  meristem)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่ได้มาจากการแบ่งตัวของเซลล์ในกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญเริ่มแรกหรือโพรเมอริสเต็ม  มีการเจริญพัฒนาเปลี่ยนลักษณะรูปร่าง  กิจกรรมทางเคมีและคุณสมบัติทางสรีรวิทยาไปจากเดิมแต่ยังไม่สมบูรณ์นัก  ทำให้ได้กลุ่มเซลล์ใหม่  ๓ กลุ่ม  คือ  โพรโทเดิร์ม  (Protoderm)  โพรแคมเบียม  (Procambium)  และกราวด์เมอริสเต็ม  (Ground  meristem)  กลุ่มเซลล์เหล่านี้จะพบในบริเวณที่ต่ำกว่าปลายยอดและเหนือปลายรากเล็กน้อย  ในบริเวณที่เซลล์มีการขยายตัว  เนื้อเยื่อเจริญชนิดนี้ยังคงมีการแบ่งเซลล์  การเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างต่อไป
                เนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมิ  (Secondary  meristem)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่ประกอบด้วย กลุ่มเซลล์ที่เจริญเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ  หรือมาจากเนื้อเยื่อถาวรปฐมภูมิบางชนิด  เพื่อทำหน้าที่เพิ่มและขยายขนาดความหนาทางด้านข้างของพืช  โดยมีการแบ่งตัวและเจริญไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรทุติยภูมิ  พบในส่วนลำต้นและรากของพืชใบเลี้ยงคู่  และจิมโนสเปิร์ม  (สน  และ  ปรงเป็นต้น  เนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมินี้ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่สำคัญ  ๒  ชนิดคือ
                ๓.๑  วาสคิวลาร์แคมเบียม  (Vascular  cambium)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่ระหว่างกลุ่มท่อน้ำ  (Xylem)  และท่ออาหาร  (Phloem)  โดยเจริญมาจากโพรแคมเบียมที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรตั้งแต่แรก  หรือเจริญมาจากพาเรงคิมาที่อยู่ระหวางท่อลำเลียงเพื่อทำหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อถาวร  กลุ่มท่อลำเลียงทุติยภูมิคือ  ไซเลมทุติยภูมิ  (Secondary  xylem)  และโฟลเอ็มทุติยภูมิ  (Secondary  phloem)
                ๓.๒  คอร์ก  แคมเบียม  (Cork  cambium)  หรือเฟลโลเจน  (Phellogen)  เป็นเนื้อเยื่อที่เกิดจากการแบ่งตัวของพาเรงคิมาที่แปรสภาพกลับกลายไป  (Differentiation  และ  Redifferentiation)  เป็นเนื้อเยื่อเจริญ  เกิดขึ้นใกล้ๆ กับเอพิเดอร์มิสในบริเวณคอร์เทกซ์  (Cortex)  ของลำต้น  หรือใน    เพอริไซเคิล  (Pericycle)  ของราก  เซลล์มีลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าค่อนข้างแบน  ผนังบาง  เรียงตัวกันแน่น  ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์  มีหน้าที่สร้างคอร์กในส่วนผิวของลำต้นและรากที่มีการเจริญแบบทุติยภูมิ
โครงสร้างของเนื้อเยื่อถาวร
                เนื้อเยื่อถาวรเป็นเนื้อเยื่อพืชซึ่งเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่แปรสภาพมาจากเนื้อเยื่อเจริญ  มีรูปร่างคงที่  ไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอีก  และมีหน้าที่เฉพาะอย่าง
ชนิดของเนื้อเยื่อถาวร
                เนื้อเยื่อถาวรสามารถจำแนกได้ตามระยะการเจริญเติบโตเป็น   ๒ ชนิด คือ
                เนื้อเยื่อถาวรปฐมภูมิ  (Primary  permanent  tissue)  เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่เจริญมาจากเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ  ได้แก่  เอพิเดอร์มิส  พาเรงคิมา  คอลเลงคิมา  สเกลอเรงคิมา  เอนโดเดอร์มิส  ไซเลมปฐมภูมิ  และโฟลเอ็มปฐมภูมิ  เป็นต้น
                เนื้อเยื่อถาวรทุติยภูมิ  (Secondary  permanent  tissue)  เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่เจริญมาจากเนื้อเยื่อเจริญทุติยภูมิ  ได้แก่  เพริเดิร์ม  ไซเลมทุติยภูมิ  และโฟลเอ็มทุติยภูมิ  เป็นต้น
                ชนิดของเนื้อเยื่อถาวรจำแนกตามลักษณะของเซลล์แบ่งเป็น  ๒  ชนิด  คือ
                เนื้อเยื่อถาวรเดี่ยว  (Simple  permanent  tissue)  ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกันล้วนๆ ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน  ได้แก่  เอพิเดอร์มิส  พาเรงคิมา  คอลเลงคิมา  สเกลอเรงคิมา  และเพอริเดิร์ม  เป็นต้น
                เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน  (Complex  permanent  tissue)  ประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน  เพื่อทำหน้าที่ร่วมกัน  ได้แก่  ไซเลมและโฟลเอ็ม  ซึ่งอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เรียก  เนื้อเยื่อท่อลำเลียง  (Vascular  tissue)
                การเจริญพัฒนาของระบบเนื้อเยื่อพืช
                การเจริญพัฒนาของระบบเนื้อเยื่อเกิดขึ้นโดยเนื้อเยื่อเจริญเริ่มแรกหรือเนื้อเยื่อเจริญปลายยอด  ปลายรากของพืชมีการแบ่งตัว  (Cell  division)   ขยายขนาดของเซลล์  (Cell  elongation)  เปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทางสรีรวิทยาของเซลล์  (Cell  differentiation)  ไปเป็นเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิ  และจะมีการเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรปฐมภูมิ  (Primary  permanent  tissue)  ซึ่งจัดเป็นระยะที่พืชมีการเจริญเติบโตปฐมภูมิ  (Primarygrowth)  โดยมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้คือ
                โพรโทเดิร์ม  (Protoderm)  เป็นบริเวณผิวนอกสุดมีความหนาเพียงชั้นเดียว  มีการเปลี่ยนสภาพต่อไปเป็นเซลล์ผิวชั้นนอกหรือเอพิเดอร์มิส
                โพรแคมเบียม  (Procambium)  เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รวมเป็นกลุ่มแทรกอยู่บริเวณส่วนกลางของปลายยอดหรือปลายราก  จะมีการเปลี่ยนสภาพไปเป็นเนื้อเยื่อท่อลำเลียงปฐมภูมิ  คือ  ไซเลมและโฟลเอ็ม  นอกจากนี้อาจเปลี่ยนสภาพไปเป็นเนื้อเยื่อที่ให้กำเนิดรากแขนง  หรือเพริไซเคิล
                กราวด์เมอริสเต็ม   (Ground  meristem)  เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ถัดโพรโทเดิร์มเข้าไป  จะเจริญแปรสภาพไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรซึ่งเป็นเซลล์พื้นของรากและลำต้น  ได้แก่  พาเรงคิมา  คอลเลงคิมา  สเกลอเรงคิมา  ในบริเวณคอร์เทกซ์และไส้ในหรือพิธ  (Pith)


วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

ระบบสุริยะ (๒๐)

วันที่ ๑๗ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: กาญมณี  ประนิธิ.สรุปสังคม.กรุงเทพฯ.จิรวัฒน์การพิมพ์.๒๕๕๐.หน้า ๑๐๒-๑๑๐

เรื่อง ระบบสุริยะ
                ระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วยดวงดาวและเทหวัตถุดังนี้
                . ดาวเคราะห์ เป็นดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง โคจรรอบดวงอาทิตย์ มี ๘ ดวง นักดาราศาสตร์แบ่งดาวเคราะห์ออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ
                ดาวเคราะห์วงใน (Inferior Planets) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลกมี ๒ ดวงคือ
                                ๑. ดาวพุธ (Mercury) อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด ไม่มีดวงจันทร์ ผิวเต็มไปด้วยหลุมบ่อ หน้าผาสูง เหวลึกและรอยแยก อุณหภูมิกลางวัน ๔๓๗°C กลางคืน -๑๗๓°C ที่เป็นเช่นนี้เพราะดาวพุธไม่มีบรรยากาศห่อหุ้มคอยดูดซับความร้อน
                                . ดาวศุกร์ (Venus) เป็นดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้า เห็นตอนเช้าเรียกว่า ดาวกัลปพฤกษ์ หรือดาวประกายพรึก หรือดาวรุ่ง (Morning star) ถ้าเห็นตอนหัวค่ำเรียกว่า ดาวประจำเมือง (Evening star) ดาวศุกร์ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร มีบรรยากาศที่หนาทึบ อุณหภูมิสูงถึง ๔๗๗ °C และบรรยากาศมีความดันมากกว่าโลก 90 เท่า
                ดาวเคราะห์วงนอก (Superior Planets) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลก มี ๕ดวงคือ
                                . ดาวอังคาร (Mars) เคยสันนิษฐานว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ แต่จากการสำรวจพบข้อมูลที่ชี้ชัดว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่เลย ดาวอังคารมีบรรยากาศเบาบางมาก ผิวเป็นหลุมบ่อ มีปล่องภูเขาไฟ อุณหภูมิเฉลี่ย -๓๐ °C มีบริวาร 2 ดวง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดึงดูดมาโคจรรอบดาวอังคาร
                                . ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีมวลมากกว่ามวลของดาวเคราะห์อื่นๆรวมกัน หมุนรอบตัวเองเร็วที่สุด บริเวณใต้เส้นศูนย์สูตรเห็นเป็นวงลึกลงไป เรียกว่า จุดแดงใหญ่ ซึ่งเป็นพายุหมุนวนด้วยความเร็วสูง ดาวพฤหัสบดีมีวงแหวนที่ประกอบด้วยน้ำแข็งและก้อนวัตถุขนาดต่างๆปกคลุมด้วยน้ำแข็งล้อมรอบ แต่เป็นวงแหวนที่จางและบางมาก จึงมองไม่เห็นจากพื้นโลก มีดวงจันทร์ที่ค้นพบแน่นอนแล้ว ๑๖ ดวง
                                ดาวเสาร์ (Saturn) เป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามที่สุดในระบบสุริยะ เพราะมีวงแหวนล้อมรอบ ๗ ชั้นใหญ่ๆ แต่ละชั้นมีวงเล็กๆซ้อนกันเป็นพันๆวง ดาวเสาร์มีความหนาแน่นเพียง ๐.๗ กรัม / ลบ.ซมดาวเสาร์จึงลอยน้ำได้ ดาวเสาร์มีดวงจันทร์เป็นบริวารที่ค้นพบแน่นอนแล้ว         ๒๓ ดวง
                                ดาวยูเรนัส (Uranus) มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีวงแหวนล้อมรอบ พื้นผิวและบรรยากาศคล้ายกับดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ มีความหนาแน่น ๑.๖ กรัม / ลบ.ซม. มีดวงจันทร์เป็นบริวาร ๑๕ ดวง ดวงที่ใหญ่ที่สุดคือ ไททาเนีย
                                ดาวเนปจูน (Neptune) อยู่ถัดจากดาวยูเรนัสออกไป เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดาวเกตุ มี วงโคจรเกือบเป็นวงกลม บางครั้งจึงเป็นดาวเคราะห์นอกสุดแทนดาวพลูโต ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์  ๘ ดวง
                . ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid) เป็นกลุ่มดาวขนาดเล็กที่เกาะกลุ่มเป็นวงแหวน โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนใหญ่เป็นก้อนหินและก้อนแร่ธาตุขนาดเล็กๆ ดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชื่อ เซเรส มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐๐๐ กิโลเมตร
                . ดาวหาง (Comets) เป็นฝุ่นผง ก้อนน้ำแข็ง และก๊าซแข็งตัวที่มีแสงสว่าง เมื่อโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์และลมสุริยะ (Solar wind) จะทำให้น้ำแข็งกลายเป็นไอ จึงเห็นดาวหางขยายตัวใหญ่และสว่างขึ้น มีหางพุ่งไปทางทิศตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เสมอ

                . อุกกาบาต (Meteoroid) เป็นวัตถุอวกาศขนาดเล็กที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดให้ตกลงสู่พื้นโลก แล้วเกิดเสียดสีกับอากาศ เกิดการลุกไหม้เห็นเป็นแสงสว่างพุ่งลงมาจากท้องฟ้า เรียกกันว่า ดาวตก หรือ ผีพุ่งใต้ (Meteor)   ส่วนที่เหลือจากการเผาไหม้ตกลงมาถึงโลกเรียกว่า อุกกาบาต

ชนิดของคลื่น (๑๙)

วันที่ ๑๗ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: กาญมณี  ประนิธิ.สรุปสังคม.กรุงเทพฯ.จิรวัฒน์การพิมพ์.๒๕๕๐.หน้า ๑๐๒-๑๑๐
เรื่อง ชนิดของคลื่น
การจำแนกคลื่นตามลักษณะของตัวกลาง  แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
                ๑) คลื่นกล คือคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการคลื่นที่สามารถถ่ายทอดพลังงานและโมเมนตัมโดยอาศัยความยืดหยุ่นของตัวกลาง เช่น คลื่นเสียง คลื่นน้ำ คลื่นในเส้นเชือก
                ๒)คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ คลื่นที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ในการเคลื่อนที่ เช่น แสง คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์
การจำแนกคลื่นตามลักษณะการกำเนิดคลื่น แบ่งเป็น ๒ประเภท ดังนี้
                ๑) คลื่นกล คือ คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดสั่นเพียงครั้งเดียว ทำให้เกิดคลื่นเพียงหนึ่งลูก อาจมีลักษณะกระจายออกจากแหล่งกำเนิดเป็นแนวตรงหรือเป็นวงกลมก็ได้ แล้วแต่แหล่งกำเนิดที่ทำให้เกิดคลื่น เช่น การโยนหินลงในน้ำ
                ๒) คลื่นต่อเนื่อง คือ คลื่นที่เกิดจากการสั่นของแหล่งกำเนิดหลายครั้งติดต่อกัน ทำให้เกิดหลายลูกติดต่อกัน โดยความถี่ของคลื่นที่เกิดขึ้นเท่ากับความถี่ของการรบกวนของแหล่งกำเนิดคลื่น เช่น คลื่นน้ำที่เกิดจากการใช้มอเตอร์
การจำแนกคลื่นตามลักษณะการเคลื่อนที่ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
                ๑) คลื่นตามยาว คือคลื่นที่อนุภาคของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านการเคลื่อนที่ไปกลับในทิศทางเดียวกันกับทิศทางที่คลื่นเคลื่อนที่ เช่น คลื่นเสียง คลื่นที่เกิดจากการอัดและขยายตัวของสปริง
                ๒) คลื่นตามขวาง คือ คลื่นที่ทำให้อนุภาคของตัวกลางที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านมีการเคลื่อนที่ไปกลับในทิศทางตั้งฉากกับที่คลื่นเคลื่อนที่ เช่น คลื่นในเส้นเชือก คลื่นน้ำ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า



วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

โรคและภูมิต้านทาน (๑๘)

วันที่ ๙ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: กาญมณี  ประนิธิ.สรุปสังคม.กรุงเทพฯ.จิรวัฒน์การพิมพ์.๒๕๕๐.หน้า ๑๐๒-๑๑๐

เรื่องโรคและภูมิต้านทาน
        โรคติดต่อหมายถึง โรคที่เกิดจากเชื้อโรคและสามารถติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้โดยมีพาหะนำโรค
        โรคติดต่อที่สำคัญได้แก่โรคเอดส์ โรคซิฟิลิส โรคหนองใน โรคไข้หวัด โรคฉี่หนู โรคซาส์        
        และโรคติดต่อที่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้  คือ  โรคพิษสุนัขบ้า  โรคโปลิโอ ไอกรน   บาดทะยัก โรคไข้หวัดใหญ่
        โรคไม่ติดต่อหมายถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งไม่สามารถติดต่อกันได้        
        โรคติดต่อที่สำคัญได้แก่  โรคกระเพาะอาหาร โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคภูมิแพ้  โรคหอบหืด
       . โรคกระเพาะอาหาร
        สาเหตุ  เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปทำให้เกิดระคายเคืองและเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
        อาการ  ปวดแสบปวดร้อนที่กระเพาะอาหาร ทั้งก่อนกินอาหารและหลังกินอาหาร
        การป้องกัน   ไมควรเครียด  รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ควรดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่
       . โรคริดสีดวงทวาร
        สาเหตุ เกิดจากความดันในช่องท้องมีมากจนเกินไปทำให้เส้นเลือดดำโป่งพอง ซึ่งอาจจะเกิดจากการเบ่ง อุจจาระนาน ๆ        
        การยืนนาน ๆ
        อาการ ปวดถ่วง ๆ ที่บริเวณทวารหนัก ขับถ่ายลำบาก  มีเลือดออกขณะขับถ่าย
        การป้องกัน  ไม่ควรปล่อยให้ตนเองท้องผูกบ่อย ๆ  รับประทานอาหารจำพวกผักให้มาก ๆ
        .โรคภูมิแพ้
        สาเหตุเกิดจากภูมิต้านทานของร่างกาย ทำหน้าที่ต่อต้านสารที่ก่อภูมิแพ้ สารพิษ เชื้อโรคต่าง ๆ        
        ด้วยการหลั่งสารหลายชนิดในร่างกาย ที่สำคัญคือ ฮิสตามีน สารเหล่านี้ทำให้เกิดการคัน บวม อักเสบ ซึ่งเรียกว่าอาการแพ้
        ทางที่สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย มี    ทาง คือ
        .ทางการหายใจ  .ทางปาก  .ทางผิวหนัง ๔.การฉีดเข้าร่างกาย
        อาการ  ทางจมูก  คัดจมูกน้ำมูกไหล   ทางปาก  จะคลื่นเหียน อาเจียน  ถ่ายท้อง  ทางผิวหนัง  จะมีผื่นขึ้น บวมแดง   ทางระบบหมุนเวียนโลหิต  จะใจสั่น  หน้าแดง  ตาแดง  ปวดเมื่อย
        การป้องกันและรักษา

        พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ  หมั่นออกกำลังกาย  ไม่ดื่มสุรา  ไม่สูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ

วันสำคัญทางศาสนา (๑๗)

วันที่ ๙ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: จิตรลดา แก้วมณี.สรุปสังคมม.ปลาย.พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพฯ.น่านฟ้าการพิมพ์.๒๕๕๗.หน้า๔๕-๖๐

เรื่อง วันสำคัญทางศาสนา
                วันสำคัญทางพุทธศาสนาถือเป็นวันสำคัญของชาติ  คือวันมาฆบูชา  วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา เป็นวันซึ่งพุทธศาสนิกชนจะปฏิบัติศาสนาพิธีร่วมกัน ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครั้งพุทธกาล คือ
วันมาฆบูชา    เป็นวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ค่ำ เดือน ๓ (เดือนมาฆะ)  เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า ๑๒๕๐ รูปได้ประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖   และในวันนั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์   เป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา   มีประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักใหญ่ ๓ ข้อ ซึ่งรวมอยู่ในโอวาทปาติโมกข์ คือ  การไม่ทำความชั่วทั้งปวง    กระทำแต่ความดี และทำใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์
วันวิสาขบูชา   เป็นวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน๖ (เดือนวิสาขะ)   เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเวียนมาบรรจบในวันและเดือนเดียวกัน  จึงถือเป็นวันสำคัญของพระพุทธเจ้า  มีหลักธรรมอันเกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์นี้ คือ  ความกตัญญู  อริยสัจ ๔ และความไม่ประมาท
วันอาสาฬหบูชา  เป็นวันเพ็ญ  ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (เดือนอาสาฬหะ) เป็นวันสำคัญเนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา (เทศน์กัณฑ์แรก) คือ ธรรมจักกัปปวัตนสูตร เป็นผลให้เกิดมีพระสาวกรูปแรกในพุทธศาสนา  ถือได้ว่าเป็นวันแรกที่มี พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  ครบเป็นองค์พระรัตนตรัย  ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในบรรดาประเทศที่นับถือพุทธศาสนาประกาศให้มีวันอาสาฬหบูชา

และวันเข้าพรรษา   หมายถึง วันที่พระภิกษุในพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำในวัดหรือ เสนาสนะที่คุ้มแดดคุ้มฝนได้แห่งหนึ่ง ไม่ไปค้างแรมในที่อื่น ตลอด ๓ เดือน    การเข้าพรรษาเป็นพุทธบัญญัติ  เป็นวันสำคัญของพุทธศาสนาและมีความสำคัญต่อพุทธศาสนิกขนด้วยเหตุผลที่ว่า เมื่อพระภิกษุหยุดจาริกไปยังที่อื่นๆ แต่พักประจำในวัดแห่งเดียวตามพุทธบัญญัติ   เป็นโอกาสที่พระภิกษุจะได้สงเคราะห์กุลบุตรที่ประสงค์จะอุปสมบทเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และสงเคราะห์พุทธบริษัททั่วไป  เป็นเทศกาลที่พุทธศาสนิกชนงดเว้นอบายมุขและความชั่วต่างๆ  และในช่วงเวลาเข้าพรรษาปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี  บำเพ็ญทาน รักษาศีล ฟังธรรมและเจริญภาวนามากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (๑๖)

วันที่ ๓ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: รักษมันต์   บุตรรัตน์.สรุปชีววิทยาพื้นฐาน.กรุงเทพฯ.ไทยวิวฒน์.๒๕๕๗.หน้า ๓๕-๔๙

เรื่อง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
.แสงสว่าง          มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตดังนี้
                ๑.มีผลต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของพืช
                ๒.มีผลต่อการกระตุ้นให้พืชออกดอกเช่น การบานของทานตะวัน
                ๓.มีผลต่อความสามารถในการสังเคราะห์แสง อุณหภูมิที่พอเหมาะ ประมาณ ๓๐ o C เวลาที่พอเหมาะประมาณ ๑๐-๑๑.๐๐น.
                ๔.เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการออกหากินของสัตว์ เช่น สัตว์บางชนิดออกหากินเวลากลางคืนได้แก่ นกเค้าแมว ค้างคาว   
                ๕. บริเวณที่ลึกมากจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่น้อย และสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มักจะมีลวดลายเด่นชัดให้เป็นเครื่องหมาย จำพวกเดียวกันในทะเลลึกสัตว์จะมีอวัยวะที่ทำหน้าที่กำเนิดแสงได้เอง      เช่นปลาไหลไฟฟ้า เป็นต้น
.อุณหภูมิ           มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตดังนี้
           .มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณออกซิเจนในน้ำ เมื่ออุณหภูมิในน้ำสูงขึ้น ความสามารถในการละลาย    ของก๊าซออกซิเจนในน้ำจะลดลง ถ้าอุณหภูมิสูง สิ่งมีชีวิตมักจะตาย เพราะประสบปัญหา กับการขาดแคลนออกซิเจน
            . มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปพรรณสัณฐาน และทางสรีระของสิ่งมีชีวิต เช่น การสร้างสปอร์ หรือเกราะ      หรือมีระยะดักแด้ ซึ่งต้านทานอุณหภูมิได้ดีหญ้า จะมีเง่า ในกรณีที่อุณหภูมิไม่เหมาะสม จะทิ้งส่วนอื่นๆหมด เหลือแต่เง่า และรากที่สามารถเจริญได้ถ้าอุณหภูมิเหมาะสม
            . สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในเขตหนาว จะมีรยางค์สั้นกว่าในเขตร้อน เช่น หาง หู และ ขา
            . นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ในเขตหนาวจะมีขนาดใหญ่กว่าในเขตร้อน หมีแพนด้า นกเพนกวิน สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง
           .มีผลต่อการฟักตัว (dormancy) หรือจำศีล เพื่อหลีกเลี่ยงต่ออากาศหนาว  เช่น กบจำศีลเพื่อหนีร้อนหรือหนีหนาว
           .มีผลต่ออัตราเมตาโบลิซึมของร่างกาย (Metabolism) ถ้าอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
    อัตราเมตาเมตาบอลิซึม  ก็จะเพิ่มขึ้น มีผลต่อการอพยพของสัตว์ เช่น
·       การอพยพของนกนางแอ่นบ้าน จากจีนมาหากินในไทย
·       การอพยพของนกปากห่าง จากอินเดียมาผสมพันธุ์ในไทย
·       การอพยพของหมีและกวางจากภูเขาสูงไปหุบเขา,
·       การเคลื่อนที่หนีความร้อนของสัตว์ในทะเลทราย
. พืชและสัตว์แต่ละชนิด มีความอดทนต่ออุณหภูมิได้ไม่เท่ากัน จึงทำให้ไม่สามารถแพร่กระจายไปที่ต่างๆของโลกได้มาก เช่น ดอกทิวลิป จะไม่ออกดอกถ้าไม่ได้รับอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว
. ความชื้น
               .มีผลต่อการกระจายของสิ่งมีชีวิต เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดชอบความชื้นที่ต่างกัน
               .มีผลต่อการสืบพันธุ์ของสัตว์ มีผลต่อการคายน้ำของพืช
               .มีผลต่อการปรับตัวของรูปร่างของพืช เพื่อลดอัตราการสูญเสียน้ำ เช่นเปลี่ยนใบเป็นหนาม ลดขนาดใบลง เช่นกระบองเพชรเพื่อลดรูปใบเป็นการป้องกันการคายน้ำออกจากใบมากเกินไป
              .การปรับตัวของสัตว์ เพื่อดำรงชีวิตในความชื้นต่ำ เช่น หนูแกงการูอยู่ในทะเลทรายจะกินเมล็ดพืชที่แห้งเป็นอาหารเท่านั้นโดยไม่กินน้ำเลย  การเปลี่ยนใบกลายเป็นหนามของต้นกระบองเพชร การมีเกล็ดหุ้มตัวของสัตว์เลื้อยคลาน   ออกหากินตอนกลางคืน
.แร่ธาตุและก๊าซ
Æสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจ
Æพืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชด้วย
Æก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีผลต่อสัตว์ คือ ถ้าได้รับในปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากทำให้สัตว์
มีกระดูกสันหลังรับออกซิเจนได้น้อยลง และเลือดจะมีสภาพความเป็นกรด-เบสไม่เหมาะสม อาจทำให้ตายได้

.ดิน มีผลต่อการเจริญเติบโต ชนิด และปริมาณของพืช
       - ดินเป็นที่ยึดเกาะของรากพืช เพื่อให้พืชยืนต้นอยู่ได้
          - ดินเป็นที่กักเก็บน้ำ สำหรับใช้ในการเจริญเติบโตของพืช
          - ดินให้แร่ธาตุอาหารต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช
          - ดินให้อากาศแก่รากพืช
มีผลต่อการเจริญเติบโต ชนิด และปริมาณของสัตว์
·       อาหารของมนุษย์ ได้มาจากพืชและสัตว์ พืชต้องอาศัยดินในการยังชีพและเจริญเติบโต สัตว์ก็ได้อาหารจากพืชและสัตว์ด้วยกัน ดังนั้นมนุษย์จึงได้รับอาหารจากดินในทางอ้อม
·       เครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ส่วนมากได้มาจากเส้นใยของพืช หรือจากขนสัตว์ นั่นคือมนุษย์ได้เครื่องนุ่งห่มจากดินในทางอ้อม
·       ที่อยู่อาศัยและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของมนุษย์ได้มาจากวัสดุที่กำเนิดจากดิน เช่น ไม้ อิฐ ซีเมนต์ และเหล็ก เป็นต้น
·       ยารักษาโรค เราได้ยารักษาโรคต้นตำรับที่มาจากพืชสมุนไพรต่างๆ นอกจากนี้ จุลินทรีย์ต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตยา เช่น ยาเพนนิซิลลิน ก็เป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดิน

.ความเป็นกรด-เบสของดินและน้ำ สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ในดินและแหล่งน้ำที่มีความเป็นกรด-เบส
ของดินและน้ำที่เหมาะสม จึงจะสามารถเจริญเติบโตและดำรงชีวิตอยู่ได้  ความเป็นกรด-เบสของดินและน้ำจะขึ้นอยู่กับปริมาณของแร่ธาตุที่ละลายปะปนอยู่

โครงสร้างของเซลล์สิ่งมีชีวิต (๑๕)

วันที่ ๓ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: รังสรรค์ มั่นนิธิ.ชีววิทยาม.ปลาย.กรุงเทพฯ.เสริมวิทย์การพิมพ์.๒๕๕๗.หน้า ๙๘-๑๑๕
เรื่อง โครงสร้างของเซลล์สิ่งมีชีวิต
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตประกอบไปด้วยโครงสร้างดังนี้
โพรโทพลาซึม
                โพรโทพลาซึมเป็นของเหลวที่พบภายในเซลล์ประกอบด้วยออร์แกเนลล์ (organelles) และอนุภาคต่าง ๆ มากมาย ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเจริญและการดำรงชีวิตของเซลล์ โพรโทพลาซึมประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ไซโทพลาซึมและนิวเคลียส โดยที่นิวเคลียสจะเป็นที่เก็บข้อความพันธุกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ไว้ ดังนั้นจึงสามารถควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ของเซลล์ได้ทั้งหมด ส่วนไซโทพลาสซึมจะมีออร์เกเนลล์และอนุภาคต่าง ๆ อยู่ด้วย ซึ่งจะมีการทำงานเป็นระบบจนทำให้เซลล์สามารถดำเนินกิจกรรมได้ด้วยดี จึงกล่าวได้ว่า โพรโทพลาซึมเป็นรากฐานของชีวิต สมบัติทางชีวภาพของโพรโทพลาซึมก็คือสมบัติของสิ่งมีชีวิตนั่นเอง สมบัคิของโปรโตพลาสซึม ได้แก่
                . มีออร์แกไนเซชัน (organization) กล่าวคือ ออร์แกเนลล์และโครงสร้างอื่น ๆ ในโพรโทพลาซึม จะมี
                    การแบ่งหน้าที่กันทำงานและมีการประสานงานกันอย่างมีระเบียบและเป็นระบบ
                . มีการเจริญเติบโต
            . มีเมแทบอลิซึม
                . มีความสามารถในการตอบสนองสิ่งเร้า
                . สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้
                . สามารถเคลื่อนไหวได้ ที่เรียกว่า ไซโคลซิส (cyclosis)
                . มีการทวีจำนวนซึ่งเกิดจากความสามารถในการสังเคราะห์ตัวเองโดยอาศัยสารต่าง ๆ ที่ได้รับจาก
                    สภาพแวดล้อม
ไซโทพลาสซึม
                ไซโทพลาซึมคือ ส่วนของโพรโทพลาซึมที่อยู่นอกนิวเคลียสทั้งหมด จำแนกได้ ๒ ชนิดคือ
                . เอ็กโทพลาซึม (ectoplasm) เป็นส่วนไซโทพลาซึมที่อยู่ด้านนอกติดกับเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นส่วนที่บางใส ไม่มีออร์แกเนลล์หรืออนุภาคต่าง ๆ (ถ้ามีก็น้อยมาก) ในสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำบางชนิด เช่น ยูกลีนา ชั้นนี้จะเปลี่ยนแปลงเป็นเยื่อเพลลิเคิล (pellicle) ซึ่งมีความหนาและเหนียว เซลล์จึงคงรูปร่างอยู่ได้
                . เอนโดพสาซึม (endoplasm) เป็นส่วนไซโทพลาซึมที่อยู่ด้านใน จะมีออร์แกเนลล์และอนุภาคต่าง ๆ อยู่มากมาย เป็นบริเวณที่เกิดกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ ของเซลล์

ออร์แกเนลล์
                ออร์แกเนลล์ที่พบในเซลล์มีหลายชนิด จำแนกได้ ๒ ประเภท ได้แก่
                . ออร์แกเนลล์ที่มีเมมเบรนห่อหุ้ม ได้แก่ กอลไจแอพพาราตัส เอนโดพลาสมิคเรติคูลัม ไลโซโซม ไมโครบอดี ฯลฯ

                . ออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเมมเบรนห่อหุ้ม ได้แก่ ไรโบโซม ไมโครฟิลาเมนต์ ไมโครทูบูล และเซนทริโอล